เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ความหมายทางการแพทย์มักเรียกว่า "เด็กพิการ" ซึ่งมีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติความบกพร่องทางกาย สูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
ความหมายทางการศึกษามักเรียกว่า เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะตัวเอง ต่างจากเด็กปกติด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
สรุป เด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้ความช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ
-สาเหตุ ความบกพร่องทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์
-จำเป็นต้อง ได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟู
-จัดการเรียน ให้เหมาะกับลักษณะและความต้องการของแต่ละบุคคล
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้ 2 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาเลิศ ลักษณะความสามารถสูง
2. กลุ่มเด็กที่มีความบกพร่อง 9 ประเภท ได้แก่
- บกพร่องทางสติปัญญา
- บกพร่องทางการได้ยิน
- บกพร่องทางการเห็น
- บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
- บกพร่องทางการพูดและภาษา
- บกพร่องทาพฤติกรรมและอารมณ์
- ปัญหาทางการเรียนรู้
- เด็กออทิสติก
- เด็กพิการซ้อน
1. เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา (Children with Intellectual Disabities)
(ระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกัน)
เด็กเรียนช้า สามารถเรียนชั้นปกติได้ ความสามารถทางการเรียนล่าช้า บกพร่องเล็กน้อย
สาเหตุจากภายนอก = สิ่งแวดล้อม ครอบครัว
สาเหตุจากภายใน = พัฒนาการช้า การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- มีภาวะพํฒนาการหยุดชะงัก
- มีสติปัญญาต่ำ
- ความสามารถการเรียนรู้น้อย
- จำกัดด้านทักษะ
- พัฒนาการล่าช้า
- ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมยาก
- ปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก (IQ ต่ำกว่า 20 ) ไม่สามารถเรียนรู้ได้ต้องรักษาพยาบาลเท่านั้น
- ขนาดหนัก (IQ 20-34) ไม่สามารถเรียนได้ ช่วยเหลือตนเองได้เล็กน้อย C.M.R
- ปัญญาอ่อนปานกลาง (IQ 35-49) เรียนทักษะง่ายๆได้ T.M.R
- ปัญญาอ่อนน้อย (IQ 50-70) เรียนระดับประถมได้ E.M.R
- ไม่พูด พูดไม่สมวัย
- ช่วงความสนใจสั้น
- รุนแรง ไม่มีเหตุผล
- อารมณ์เปลี่ยนบ่อย รอคอยไม่ได้
- ทำงานช้า
- อวัยวะมีรูปร่างผิดปกติ
- ช่วยตนเองได้น้อยกว่าววัยเดียวกัน
2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)
สูญเสียการได้ยิน แบ่งได้ 2 ประเภท
1.) หูตึง
- หูตึงระดับน้อย ได้ยินระหว่าง 26-40 db
- หูตึงระดับปานกลาง ได้ยินระหว่าง 41-55 db
- หูตึงระดับมาก ได้ยินระหว่าง 56-70 db
- หูตึงระดับรุนแรง ได้ยินระหว่าง 71-90 db
- สูเสียการได้ยิน หมดโอกาสเข้าใจภาษาพูดจากการฟัง ใช้เครีื่องช่วยฟังไม่ได้
- ได้ยินตั้งแต่ 90 db ขึ้นไป
ลักษณะ
- ไม่ตอบสนองเสียงพูด
- พูดไม่ถูกหลักไวทยากรณ์
- พูดเสียงต่ำหรือดังเกิน
- ไวต่อการสั่นสะเทือน
- พูดเสียงแปลก ใช้เสียงสูง
- เวลาฟะงมักมองปากผู้พูด
- มักทำหน้าเดียวเมื่อพูดด้วย
3. เด็กที่ความบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Imparments)
- มองไม่เห็น หรือเห็นเลือนลาง
- มองเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
1.) เด็กตาบอด
- มองไม่เห็นเลย/เห็นบ้าง
- ใช้ประสาทสัมผัสอื่น
- สายตาข้างดีมองเห็นได้ระยะ 6/60,20/200
- ลานสายตาสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
- บกพร่องทางสายตาเห็นบ้างแต่ไม่ปกติ
- อยู่ในระดับ 6/18 , 20/60 ,6/60, 20/200
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยสูงสุดไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะ
- เดินงุ่มง่าม ชน และสะดุดวัตถุ
- มองสีผิดปกติ
- บ่นปวดหัว คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
- ก้มศีรษะชิดกับงาน ของที่วางตรงหน้า
- เพ่งตา หรี่ตา ปิดตาข้างหนึ่งเมื่อมอง
- ตา&มือ ไม่สัมพันธ์กัน
- ลำบากในการจำ การแยกสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น